หมายถึง คดีความที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ประเภทสังหาริมทรัพย์ (เช่น รถยนต์ เครื่องจักร ทรัพย์สินส่วนตัว) หรือ อสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน อาคาร บ้านเรือน) ซึ่งมักเป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ การครอบครอง การโอนกรรมสิทธิ์ การยืม การเช่า การให้ การขโมย การทำลายทรัพย์ สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาให้ สัญญายืม สัญญาเช่าซื้อ สัญญาจำนำ ฯลฯหรือการใช้ทรัพย์โดยไม่มีสิทธิ เกี่ยวข้องกับ สิทธิในทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่าง (ทรัพย์มีตัวตน) หรือไม่มีรูปร่าง (ทรัพย์ไม่มีตัวตน) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ดิน: อาทิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ,ประมวลกฎหมายอาญา ,พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ,พระราชบัญญัติการเช่าซื้อ พ.ศ. 2561 ,พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 (ในกรณีที่มีการซื้อขายทรัพย์เกี่ยวข้อง) ,กฎหมายลักษณะพาณิชย์ว่าด้วยตราสาร หนี้ ประกันภัย หรือทรัพย์สินทางปัญญา (ในกรณีเฉพาะ) หรืออื่นๆ ฯลฯ
ตัวอย่างประเภทของคดีทรัพย์สิน อาทิ คดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ (Disputes over Ownership Rights) ,คดีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ (Acquisition of Ownership Rights) ,คดีเกี่ยวกับแดนกรรมสิทธิ์ (Boundary Disputes) ,คดีเกี่ยวกับการใช้กรรมสิทธิ์ (Use of Ownership Rights) ,คดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวม (Joint Ownership Disputes),คดีเกี่ยวกับการครอบครอง (Possession Disputes) ,คดีเกี่ยวกับภาระจำยอม (Easement Disputes) ,คดีเกี่ยวกับสิทธิอาศัย (Right of Habitation) ,คดีเกี่ยวกับสิทธิเหนือพื้นดิน (Right of Superficies) ,คดีเกี่ยวกับสิทธิเก็บกิน (Right to Gather Products) ,คดีเกี่ยวกับภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ (Encumbrance Disputes)หรืออื่นๆ ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8155/2561 ตามคำขออนุญาตและใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ไม่ปรากฏว่าในการจัดสรรที่ดินเปล่าซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทของโจทก์ มีวัตถุประสงค์ให้ก่อสร้างอาคารไม่เกิน 2 ชั้น เพื่อใช้เป็นบ้านพักอาศัย ส่วนการก่อสร้างและต่อเติมสิ่งก่อสร้างตามระเบียบนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุให้เป็นไปตามข้อบังคับในสัญญาดำเนินการนั้น ในสัญญาดำเนินการก็เป็นเพียงแบบข้อตกลงในการก่อสร้างบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ไม่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 มีข้อบังคับและระเบียบห้ามมิให้ก่อสร้างอาคาร 3 ชั้น เป็นบ้านพักอาศัยและสำนักงานประกอบธุรกิจ การที่จำเลยที่ 1 ระงับยับยั้งขัดขวางการก่อสร้างอาคารดังกล่าวในที่ดินพิพาท ระงับการใช้ถนนของหมู่บ้านในการขนคนงานและอุปกรณ์เข้าไปยังที่ดินพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งการใช้กรรมสิทธิ์ของโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามกฎหมายและมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ป.พ.พ. ม. 420, ม. 1336 ,พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 ม. 23, ม. 45, ม. 46, ม. 48 (1) (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6458/2551 สิทธิอาศัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1402 มีได้แต่เฉพาะสิทธิที่จะอยู่อาศัยในโรงเรือนของบุคคลอื่นเท่านั้น เมื่อบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลยเอง และโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิอาศัย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ ตามกฎหมายและมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ. ม. 1402 ,ป.วิ.พ. ม. 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2539 การที่จำเลยที่1ออกเงินปลูกสร้างตึกแถวให้ ว. เจ้าของที่ดินเดิมและ ว. ยินยอมให้จำเลยที่1นำตึกแถวดังกล่าวไปให้จำเลยที่2เช่ามีกำหนด20ปีสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนระหว่าง ว. กับจำเลยที่1ซึ่งเป็นบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะคู่สัญญาส่วน ข้อตกลงที่ว่าเมื่อครบกำหนด20ปีแล้วให้ตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ว. แต่ข้อตกลงดังกล่าวมิได้นำไปจดทะเบียนสิทธิเป็นสิทธิเหนือพื้นดินจึงมีผลใช้บังคับได้ระหว่างคู่สัญญาเท่านั้นไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้ซื้อที่ดินซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่1แม้โจทก์ทราบสัญญานี้ก็ไม่ผูกพันโจทก์เพราะโจทก์มิได้ยินยอมตกลงกับจำเลยที่1ด้วย ส่วนจำเลยที่2นั้นแม้จะ จดทะเบียนการเช่าตึกแถวกับจำเลยที่1มีกำหนด20ปีก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่1ไม่มีสิทธิที่จะให้ตึกแถวอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้แล้วต้องถือว่าจำเลยที่2เป็น บริวารของจำเลยที่1จึงต้องออกไปจากที่ดินของโจทก์เช่นเดียวกัน ตามกฎหมายและมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ. ม. 369, ม. 299 วรรคแรก, ม. 1410
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4446/2543 โจทก์ตกลงให้จำเลยใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดชีวิตของจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทตลอดชีวิต แม้จะมิได้มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิดังกล่าวให้บริบูรณ์อย่างทรัพยสิทธิตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่ก็สมบูรณ์ อย่างบุคคลสิทธิที่ใช้ยันกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ต้องผูกพัน ตามข้อตกลงดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทตามกฎหมายและมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ. ม. 1299 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2533 เดิม จำเลยฟ้องขับไล่บิดาโจทก์ ให้รื้อถอนโรงเรือนในที่ดินจำเลย บิดาโจทก์กับจำเลยตกลง กันได้ โดย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้บิดาโจทก์และบุตรพร้อมด้วย บริวารของบิดาโจทก์และผู้เช่าโรงเรือนจากบิดาโจทก์อาศัยในที่ดินได้ 30 ปี และจำเลยได้ จดทะเบียนภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ว่า ที่ดินแปลงนี้อยู่บังคับภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ โดยบิดาโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์อาศัยปลูกโรงเรือนในที่ดินดังกล่าวมีกำหนด 30 ปี ดังนี้ ข้อตกลงตาม สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลเป็นสัญญาอันหนึ่ง ซึ่ง มีเนื้อความชัดเจนว่า ให้บุตรจำเลยคือโจทก์ในคดีนี้อยู่ในที่พิพาทได้ เป็นเวลา 30 ปี ข้อตกลงเช่นนี้ ไม่ขัดต่อกฎหมายจึงใช้ บังคับได้ เมื่อโจทก์ได้ แสดงเจตนาถือ เอาประโยชน์แห่งสัญญาจำเลยก็ต้อง ปฏิบัติตาม สัญญานั้น การที่จำเลยไม่ ยินยอมให้โจทก์หรือบริวารโจทก์อยู่ในที่ดินโดย จำเลยได้ รื้อถอนโรงเรือนของโจทก์ออกไปเป็นการผิดสัญญา และละเมิดต่อ โจทก์. ตามกฎหมายและมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง ป.พ.พ. ม. 374, ม. 420, ม. 1429
หมายเหตุ การปรับใช้บทกฎหมายขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงรายกรณีไป
อ้างอิง กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ,ประมวลกฎหมาย และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ติอต่อ ⚖️
เพจ Facebook : บริษัทกฎหมายจักรพงษ กิมติน
เพจ Facebook : ทนายแพรว ดาวัลย์
www : chakphongklawfirm.com
📞 0949751151,0625432502